วันนี้เราจะมาติดตามความสำเร็จของ Michael Dell ไมเคิล เดล ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell แบรนด์คอมพิวเตอร์ที่เรารู้จักกันดี แต่เราก็ไม่เคยทราบกันเลยว่าเจ้าของบริษัทที่มียอดขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณืไอทีสูง ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่าง Dell เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยซะด้วยซ้ำแต่กลับรวยระดับโลก เขาทำอะไรกับชีวิตของเขาถึงประสบความสำเร็จมากแบบนี้ อยากรู้กันแล้วก็ไปติดตามกันเลย
MICHAEL DELL
วัยเด็ก ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3
ไมเคิลก็เริ่มมองหาประกาศนียบัตรรับรองการจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว
ซึ่งถ้ามีทางไหนที่จะทำให้เขาเรียนสำเร็จได้ด้วยความรวดเร็วและไม่ยากเกินไปแล้ว
เขาก็พร้อมที่จะทดลอง และการแลกเปลี่ยนเวลากว่า 9
ปี ไปกับข้อสอบง่าย ๆ เพียงชุดเดียวทำให้เขาเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก
เมื่อตอนที่ไมเคิลอายุประมาณ 12
ปี
เขาได้รับบทเรียนสำคัญบทแรกที่ทำให้เขามองเห็นประโยชน์จากการส่งตรงแบบไม่ผ่านคนกลาง
โดยเปลี่ยนความสุขจากการสะสมแสตมป์ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "โอกาสทางการค้า"
เขาเล็งเห็นว่านักจัดประมูลทำการประมูลก็เพื่อหวังค่าธรรมเนียม ดังนั้นถ้าเขาอยากขายแสตมป์
ทำไมจะต้องยอมเสียเงินให้แก่นักจัดประมูล สู้จัดเองไม่ดีกว่าหรือ
สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ
ชักชวนเพื่อนบ้านให้มาลงชื่อและฝากแสตมป์ที่ต้องการนำออกประมูลไว้กับเขา
หลังจากนั้นก็ลงโฆษณา "แสตมป์ของเดลล์" ในวารสารเกี่ยวกับการซื้อขายแสตมป์
สุดท้ายเขาสามารถทำเงินได้มากถึง 2,000
ดอลลาร์จากการขายในครั้งนี้
ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อไมเคิลอายุ 16
ปี เขาเริ่มทำงานช่วงปิดเทอมโดยสมัครเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์
และมองเห็นโอกาสดีที่ต้องฉวยเอาไว้ให้ได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าของหนังสือพิมพ์ส่งรายชื่อผู้ที่ขอติดตั้งโทรศัพท์ใหม่ในเมืองนั้นทั้งหมดให้กับคนขายทุกคน
และแนะนำให้โทรศัพท์ไปชักชวนให้มาเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์ เมื่อทำไปได้สักพัก
เขาก็เริ่มมองเห็นรูปแบบบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน
โดยพบว่ามีคนอยู่สองประเภทที่สมัครเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์คือ
คนที่เพิ่งแต่งงานและคนที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่
ดังนั้นเขาจึงเก็บรวบรวมรายชื่อคนที่เพิ่งแต่งงานจากทางอำเภอซึ่งพวกเขาจะต้องไปจดทะเบียน
และรายชื่อคนที่ยื่นเรื่องขอกู้เงินซื้อบ้านจากบริษัทแห่งหนึ่ง
จากนั้นก็เขียนจดหมายส่วนตัวถึงคนเหล่านี้ขอให้สมัครเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์
ภายในเวลาไม่นาน ยอดสมัครหนังสือพิมพ์ของไมเคิลก็เพิ่มขึ้นเป็นพัน ๆ คน
ในปี 2523
ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ไมเคิลซื้อเครื่องแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของเขาและจับแยกออกเป็นชิ้น ๆ
ทันที ด้วยความอยากรู้ว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ แต่ละชิ้นถูกออกแบบและผลิตมาได้อย่างไร
และจากการติดตั้งกระดานข่าวเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปรียบเทียบราคาเครื่องกับเพื่อน
ๆ ที่สนใจคอมพิวเตอร์
ซึ่งทำให้เขาพบว่าช่องว่างระหว่างราคาที่แท้จริงและราคาขายปลีกต่างกันมากเหลือเกิน
โดยปกติเครื่องไอบีเอ็ม พีซี
จะขายในราคาประมาณ 3,000 ดอลลาร์ แต่สามารถซื้อส่วนประกอบต่าง ๆ
มาประกอบเองได้ในราคาเพียง 600-700 ดอลลาร์เท่านั้น
และคนที่ขายเครื่องส่วนใหญ่ก็ไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน
ร้านเหล่านี้ซื้อเครื่องมาในราคาประมาณ 2,000
ดอลลาร์และขายออกไปในราคา 3,000 ดอลลาร์ โดยแทบไม่มีบริการใด ๆ ให้เลย
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างมากในความคิดของไมเคิล
และนี่คือโอกาสที่เขาจะต้องฉวยมาให้ได้อีกครั้ง
ในปี 2526
เมื่อไมเคิลอายุ 18 ปี
เขาเริ่มธุรกิจของตัวเองที่ให้ผลตอบแทนอย่างงามตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1
ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน โดยใช้หอพักของมหาวิทยาลัยเป็นที่ทำงาน
ด้วยการขายเครื่องคอมพิวเตอร์เลียนแบบไอบีเอ็ม พีซี ที่ประกอบเองและมีอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น
ๆ ที่จำเป็น เขาไม่ได้เข้าเรียนจนกระทั่งการเรียนตกต่ำอย่างมาก
พ่อของไมเคิลจึงถามว่า "พูดกันตรง ๆ ลูกอยากทำอะไรในชีวิตนี้" เขาตอบอย่างไม่ลังเลว่า
"ผมอยากแข่งกับไอบีเอ็มครับ" ถึงแม้เขายังไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่นอนก็คือ เขาต้องการสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีกว่าไอบีเอ็ม
ให้คุณค่าและการบริการที่ดีกว่าด้วยการส่งตรง และต้องเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจด้านนี้ให้ได้
การก่อตั้งธุรกิจ
กำเนิดการส่งตรง
2 มกราคม 2527
ไมเคิลจดทะเบียนบริษัทด้วยชื่อ PC Limited ซึ่งสามารถขายได้ประมาณ
50,000-80,000 ดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายให้คนในท้องที่ใกล้
ๆ และในปลายปีนั้นเองเขาก็จดทะเบียนบริษัทใหม่ชื่อ เดลล์ คอมพิวเตอร์ ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง
1,000 ดอลลาร์ ซึ่งต่อมาในเดือนพฤษภาคมไมเคิลก็ได้ลาออกจากการเรียนเมื่อเรียนจบชั้นปีที่
1
ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาใฝ่ฝันที่จะหาทางกำจัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะก่อตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจโดยมีพื้นฐานอยู่ที่การขายโดยไม่ผ่านคนกลาง
บริษัทเดลล์ขายคอมพิวเตอร์ให้กับลูกค้าโดยตรง ติดต่อกับผู้จัดส่งชิ้นส่วนโดยตรง
และประสานงานกับพนักงานโดยตรงเช่นกัน
ทั้งหมดทำโดยปราศจากขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและไม่มีประสิทธิภาพคั่นอยู่ตรงกลางเลยแม้แต่น้อย
ไมเคิลเรียกสิ่งนี้ว่า "ต้นแบบตรง (Direct Model)" และใช้คำว่า
"ตรงสู่จุดสูงสุด (Direct to the top)" เป็นคำขวัญประจำบริษัทเดลล์
โดยมีกลยุทธ์การแข่งขันคือ
"เข้าตลาดอย่างรวดเร็ว
ให้บริการที่เหนือกว่า มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
เปิดโอกาสให้ลูกค้าสั่งประกอบเครื่องคุณภาพสูงด้วยตนเอง
จัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดให้ลูกค้า
และเข้าสู่อินเทอร์เน็ตตั้งแต่ตอนเริ่มต้น"
ดิ้นรนเพื่อเติบโต
ในช่วงแรกของการก่อตั้งบริษัท
ถือได้ว่าเดลล์ยังเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงอยู่
ดังนั้นเขาจึงเจาะจงเลือกจ้างพนักงานที่ชอบความท้าทายและทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ไมเคิลรู้ดีว่าถ้าจ้างพวกคนเก่ง ๆ ไว้ พวกเขาก็จะนำคนเก่ง ๆ เข้ามาอีก
เมื่อธุรกิจเดินหน้าไปได้สวย
บริษัทเดลล์จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เพียงหนึ่งเดือนหลังจากย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักงานแห่งใหม่
ก็ต้องย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่ซึ่งมีพื้นที่กว่า 2,350
ตารางฟุตแทน แต่บริษัทก็ยังเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ จนต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ใช้พื้นที่กว่า 7,200 ตารางฟุต
หกเดือนหลังจากนั้นก็ต้องย้ายอีกครั้ง
คราวนี้บริษัทเติบโตเกินกว่าที่ชุมสายโทรศัพท์ อุปกรณ์สำนักงาน
และโครงสร้างขององค์กรจะรับมือไหว ในที่สุดเมื่อปี 2528
เดลล์ก็ก้าวกระโดดไปอยู่ในสำนักงานที่มีพื้นที่ขนาด 30,000
ตารางฟุต ซึ่งใหญ่พอ ๆ กับสนามฟุตบอล แต่เพียงแค่ 2
ปีหลังจากนั้นก็ต้องย้ายอีกครั้ง
ในปี 2529
เดลล์ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการจ้าง ลี วอล์กเกอร์ มาเป็นประธานบริษัท
ซึ่งมีส่วนสำคัญในการหาเงินทุนจำนวนมากสำหรับขยายงาน
และกำหนดรูปแบบคณะกรรมการบริษัทเมื่อบริษัทกลายเป็นบริษัทมหาชนในปี 2531
เนื่องจากเดลล์พูดคุยกับลูกค้าตลอดเวลา
ทำให้รู้ดีว่าลูกค้าต้องการอะไร
ซึ่งนี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทที่มีธุรกิจบนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าอย่างเดลล์
ตั้งแต่การออกแบบ เข้าสู่กระบวนการผลิต และไปจนถึงออกจำหน่าย
ทั้งหมดล้วนอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เดลล์พบปะลูกค้าทั้งทางโทรศัพท์
แบบตัวต่อตัว ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องของสินค้า การให้บริการ
และความต้องการในอนาคตผ่านอินเตอร์เน็ต
ขณะที่บริษัทอื่น ๆ
ต้องเตรียมผลิตสินค้าให้พร้อมสำหรับการขายปลีก
แต่เดลล์ประกอบเครื่องเฉพาะที่ลูกค้าสั่งซื้อ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสินค้าคงคลังขนาดใหญ่เพื่อเก็บสินค้า
และเนื่องจากไม่ได้ขายผ่านคนอื่น ดังนั้นจึงสามารถขายคอมพิวเตอร์รุ่นที่ดีกว่า
ในราคาถูกกว่าบริษัทอื่นมาก
นอกจากนี้เดลล์ยังให้ความสำคัญกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มอีกด้วย
เพราะรู้ดีว่าวิธีขายให้บริษัทขนาดใหญ่แตกต่างจากการขายแบบทั่วไป
ดังนั้นเดลล์จึงจ้างพนักงานขายที่มีประสบการณ์การขายโดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดใหญ่
หน่วยงานของรัฐ สถาบันการศึกษา บริษัทขนาดเล็ก และลูกค้ารายบุคคล
คุณภาพเป็นอีกปัจจัยที่สามารถสร้างความแตกต่างได้
ดังนั้นเดลล์จึงเน้นออกแบบเครื่องให้ทำงานร่วมกับไอบีเอ็มได้
และเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงสุดด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตชิ้นส่วน
และแนะนำให้พวกเขาพัฒนาอุปกรณ์ให้มีคุณภาพดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
จุดแข็งสามประการที่ทำให้บริษัทเดลล์ได้เปรียบคู่แข่งคือ
1. สามารถผลิตสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
โดยทำงานได้เหมือนกับไอบีเอ็ม พีซี
2. ใช้การตลาดแบบส่งตรง
ทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบคู่แข่ง
เพราะสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า
นอกจากนี้ยังสามารถกำจัดส่วนต่าง 25-45%
ที่ต้องจ่ายให้กับตัวแทนจำหน่ายออกไป
3. สามารถรักษาความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้จะไม่มีเงินทุนมากนัก แต่ก็ไม่มีสินค้าสำเร็จรูปเหลือเก็บเช่นกัน
เพราะผลิตตามคำสั่งซื้อจากลูกค้า ไม่ใช่จากการคาดการณ์ของตัวแทนจำหน่าย
เรียนรู้ด้วยความยากลำบาก
ปัญหาแรกที่เดลล์ต้องเผชิญในปี 2532
คือ การมีชิ้นส่วนที่เป็นวัตถุดิบมากเกินไป เนื่องจากเดลล์ชอบซื้อชิ้นส่วนต่าง ๆ
เช่น หน่วยความจำ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มาเก็บไว้ในคลังสินค้า
เพื่อรับมือกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แทนที่จะซื้อเท่าที่ต้องการ เมื่อมีของล้นคลัง
สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือการโละออกไปให้หมดแม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม
ทำให้รายได้ในไตรมาสที่หนึ่งเหลือเพียง 1% ต่อหุ้นเท่านั้น
จากเหตุการณ์ครั้งนี้เดลล์จึงให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารสต๊อกชิ้นส่วนเป็นอันดับแรกจากที่เคยให้เป็นอันดับท้าย
และหาทางสร้างระบบการสื่อสารแบบใหม่ที่รวดเร็วและคาดการณ์ล่วงหน้าได้
วิกฤตครั้งต่อไปถือเป็นความผิดพลาดเนื่องจากให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากเกินไป
แทนที่จะผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีตรงกับความต้องการของลูกค้า
โดยเดลล์ได้วางแผนที่จะผลิตคอมพิวเตอร์ตระกูลใหม่ชื่อ "โอลิมปิก" ซึ่งมีเทคโนโลยีแบบครอบจักรวาล
แต่สิ่งที่เดลล์ไม่ได้คิดเลยก็คือ
เทคโนโลยีที่เฉียบขาดแบบนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ลูกค้าต้องการ
ประสบการณ์จากโครงการโอลิมปิกทำให้เดลล์ต้องหันกลับมาทบทวนเกี่ยวกับงานวิจัยและการค้นคว้าใหม่
จากเดิมที่คิดกันว่า "สร้างขึ้นก่อน คนซื้อตามมาทีหลัง" เปลี่ยนเป็นออกแบบบนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรกแทน
หลังจากได้ละเมิดกฎทอง 2
จาก 3 ข้อของบริษัท คือ หนึ่ง ต้องไม่มีสินค้าเหลือในคลัง และสอง
รับฟังความต้องการของลูกค้า เดลล์ก็ได้ละเมิดกฎทองข้อที่สาม "ห้ามขายแบบที่ไม่ใช่การขายตรง"
แทนที่จะยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่ทำอยู่เดิม
เดลล์กลับทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกเพื่อทดลองหาหนทางใหม่ ๆ
โดยเริ่มขายคอมพิวเตอร์ผ่านทางร้านขายปลีก ซึ่งไมเคิลและเดลล์ต้องใช้เวลากว่า 3
ปี กว่าจะสามารถกลับมาชื่นชมกับระบบส่งตรงได้อีกครั้ง ทั้ง ๆ
ที่รู้อยู่เต็มอกว่าระบบส่งตรงทำให้เดลล์แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น ๆ ก็ตาม
มองหาจุดยืน
เหมือนกับบริษัทอื่น ๆ
เดลล์ให้ความสนใจตัวเลขบัญชีกำไรและขาดทุนเป็นพิเศษ
แต่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องกระแสเงินสดมากนัก
นอกจากนี้เดลล์ยังไม่เข้าใจระบบเศรษฐกิจของธุรกิจนี้เลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว ประกอบกับไม่มีระบบตรวจสอบที่ดีพอ
ทำให้ใช้เงินสดไปมากขณะที่กำไรเริ่มลดน้อยลง
สินค้าสำเร็จรูปและยอดลูกหนี้ก็เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
อย่างไรก็ตามไมเคิลไม่ปฏิเสธความจริงว่ามีปัญหา
ทำให้มองเห็นต้นตอของปัญหาได้ชัดเจนและหาทางแก้ไขโดยเร็วเหมือนกับการจัดการกับโครงการโอลิมปิกและปัญหาอื่น
ๆ ที่ผ่านมา
เดลล์คุ้นเคยกับการทำงานภายใต้สันนิษฐานว่า
บริษัทต้องเติบโตเร็วกว่าการเติบโตของตลาด และต้องทำกำไรให้ได้ 5%
อย่างสม่ำเสมอ มาถึงตอนนี้เดลล์เริ่มรู้แล้วว่าลำดับความสำคัญได้เปลี่ยนไปแล้ว
โดยต้องทำให้การเติบโตช้าลงแต่สม่ำเสมอและมีเงินสดเหลือตลอดเวลาแทน สำหรับเดลล์แล้วต่อไปนี้เป้าหมายหลักของบริษัทก็คือ
"มีเงิน มีกำไร และเติบโต"
เดลล์เข้าไปในตลาดโน้ตบุ๊คตั้งแต่ปี 2531
และเป็นผู้ผลิตโน้ตบุ๊ครายแรกที่ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์จากอินเทล 486
พร้อมกับจอภาพสี ซึ่งมีขนาดบางและเบาที่สุด อีกทั้งยังมีโน้ตบุ๊คขนาดเล็กเป็นพิเศษอีกด้วย
แต่ยิ่งออกแบบซับซ้อนเท่าใด ยิ่งทำให้นำเครื่องออกสู่ตลาดได้ช้าเกินไปเท่านั้น
เพราะเสียเวลาแก้ไขแบบนานเกินไป ปัญหาแรกที่พบก็คือวิธีการออกแบบเครื่อง
เนื่องจากพื้นฐานการออกแบบเครื่องโน้ตบุ๊คของเดลล์จะเหมือนกับการออกแบบเครื่องพีซีแบบตั้งโต็ะ
ที่จะพยายามใส่ทุกอย่างที่เป็นไปได้เข้าไป
ซึ่งไม่ใช่วิธีการออกแบบเครื่องโน้ตบุ๊คที่ถูกต้อง
ในเดือนเมษายน 2536
เดลล์ได้จ้าง จอห์น เมดิกา
ซึ่งเคยทำงานแผนกพัฒนาโน้ตบุ๊คที่บริษัทแอปเปิ้ลมาก่อนให้เป็นผู้รับผิดชอบแผนกโน้ตบุ๊ค
จากสายการผลิตทั้งหมดจอห์นพบว่า มีเพียงการออกแบบเครื่องโน้ตบุ๊ครุ่น Latitude
XP รุ่นเดียวที่สามารถผลิตได้จริง ซึ่งจอห์นได้แนะนำให้ยกเลิกเครื่องที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาหลายรุ่น
และให้ความสนใจกับส่วนที่เหลืออยู่แทน
กุญแจสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้โน้ตบุ๊ครุ่น
Latitude XP โดดเด่นเหนือใครอยู่ตรงที่แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน
ซึ่งสามารถทำงานได้นานกว่าเป็นสองเท่าของแบตเตอรี่แบบเดิมที่ใช้งานได้อย่างมากไม่เกินสองชั่วโมง
ความต้องการเครื่องรุ่นนี้ทำให้ยอดขายโน้ตบุ๊คที่เคยมีประมาณ 2%
ของรายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2538 พุ่งขึ้นเป็น 14%
ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2538
มีบางคนพูดว่า
ความแตกต่างระหว่างบริษัทเดลล์กับบริษัทอื่นก็คือ
ขณะที่เกือบทุกบริษัทล้วนแต่ทำผิดพลาดกันทั้งนั้น
มีเพียงเดลล์เท่านั้นที่ไม่ยอมทำผิดซ้ำสอง ไมเคิลคิดว่าความผิดพลาดเป็นโอกาส
กุญแจสำคัญก็คือ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดมากที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องทำผิดซ้ำอีก
เติบโตอย่างมั่นคง
ในช่วงต้นปี 2533
เดลล์มีวิธีแนะนำสินค้าออกสู่ตลาดมากมายหลายวิธีซึ่งวิธีเหล่านี้ใช้ได้ดีขณะที่บริษัทยังเล็กอยู่
แต่เมื่อบริษัทใหญ่ขึ้น มีสินค้าหลากหลายมากขึ้น
เดลล์จำเป็นจะต้องมีขั้นตอนมาตรฐานสำหรับใช้ในการนำสินค้าออกสู่ตลาด
ดังนั้นเดลล์จึงจ้างบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการจัดกระบวนการพัฒนาสินค้าสำหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่มาโดยเฉพาะ
เพื่อสร้างขั้นตอนเฉพาะที่เหมาะสมกับเดลล์มากที่สุด
กระบวนการแบบใหม่จะทำให้เกิดการใช้ภาษาและข้อตกลงแบบเดียวกันทั้งองค์กรเกี่ยวกับว่า
จะพัฒนาสินค้าและแนะนำออกสู่ตลาดได้อย่างไร
นอกจากนี้เดลล์ยังนำระบบการรายงานแบบคู่และการบริหารงานแบบเมตริกซ์มาใช้
ซึ่งเป็นระบบที่มีทั้งการกำกับ ตรวจสอบ และรับผิดชอบร่วมกัน
ทำให้ต้องมีการทำงานร่วมกันมากขึ้น
อีกทั้งยังทำให้เกิดการแบ่งปันความคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่างกันไปทั่วทั้งบริษัทอีกด้วย
โดยทั่วไปบริษัทต่าง ๆ
จะแบ่งแผนกตามชนิดของสินค้า แต่เดลล์แยกแผนกตามชนิดของลูกค้า
เดลล์เชื่อว่าความต้องการของลูกค้าเป็นตัวกำหนดได้ดีว่า
ควรพัฒนาสินค้าตัวไหนเพื่อให้ตรงกับที่ลูกค้าต้องการ
และเนื่องจากเดลล์ส่งตรงไปที่ลูกค้า การเข้าใจความต้องการของลูกค้าทำให้ตอบสนองได้ดีกว่า
ด้วยความคิดที่จะใช้โอกาสที่มีให้ได้มากที่สุด ทำให้เดลล์ต้องแบ่งแผนกต่าง ๆ
ออกเป็นธุรกิจย่อยหลายหน่วย แต่ละหน่วยจะมีฝ่ายขาย ฝ่ายบริการ ฝ่ายการเงิน
ฝ่ายเทคโนโลยี ฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค และฝ่ายผลิตเป็นของตนเอง ซึ่งใช้ได้ผลดีมาก
ทำให้สามารถตอบสนองลูกค้าได้ใกล้ชิดมากขึ้นและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเดลล์กับลูกค้าเป็นไปได้ด้วยดี
เดลล์มีหน่วยงานที่เชี่ยวชาญความต้องการเฉพาะกลุ่มหลายหน่วย เมื่อบริษัทโตขึ้น
เดลล์ได้แบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นลูกค้าขนาดใหญ่ ลูกค้าขนาดกลาง
สถาบันการศึกษาและหน่วยงานรัฐบาล บริษัทขนาดเล็ก และลูกค้าทั่วไป
นอกจากการแบ่งกลุ่มย่อย
และถอนตัวออกจากธุรกิจขายปลีกแล้ว เดลล์ยังเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ให้แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ในการทบทวนรูปแบบส่งตรงครั้งใหม่เดลล์พบว่า
การบริหารสินค้าคงคลังไม่เพียงเป็นหัวใจของความแข็งแกร่งเท่านั้น
แต่ยังเปิดโอกาสดีอีกมากมายที่คู่แข่งยังไม่เคยพบมาก่อนอีกด้วย
เนื่องจากเดลล์ผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ทำให้ไม่มีสินค้าสำเร็จรูปเหลือในแต่ละวัน
เดลล์ปรับระบบให้ผู้ส่งชิ้นส่วนส่งเฉพาะชิ้นส่วนที่ต้องการ
ทำให้จำนวนวัตถุดิบที่ต้องเก็บไว้ลดน้อยลงมากอันทำให้ส่งสินค้าให้ลูกค้าได้รวดเร็วมากขึ้น
ลูกค้าจึงมีความสุขมากขึ้น และความสามารถในการแข่งขันของเดลล์ก็ดีขึ้น
ที่สำคัญก็คือ ระบบนี้ทำให้สามารถส่งเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดให้ลูกค้าได้เร็วกว่าคู่แข่ง
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมีคุณภาพของข่าวสารข้อมูลที่ดีด้วย
ในปี 2538
เดลล์ต้องเผชิญกับสถานการณ์ชนิดที่ว่าถ้าไม่โตก็ต้องตายอีกครั้งหนึ่ง
บริษัทส่วนใหญ่มีแนวโน้มรวมตัวกันมากขึ้น และเดลล์ต้องเผชิญกับการท้าทายครั้งใหม่ที่ต้องขยายตราสินค้าให้มากขึ้น
โดยต้องไม่จำกัดอยู่ที่เครื่องแบบตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊ค ซึ่งก้าวต่อไปของเดลล์คือ
เซิร์ฟเวอร์ การเข้าไปในตลาดเซิร์ฟเวอร์ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสที่ดีอย่างเดียว
แต่ยังเป็นความจำเป็นทางด้านการแข่งขันด้วย เนื่องจากคู่แข่งรายใหญ่ของเดลล์คือ
คอมแพ็ค ไอบีเอ็ม และฮิวเล็ตต์ แพ็กการ์ด
ใช้กลยุทธ์การนำกำไรจำนวนมากที่ได้จากการขายเซิร์ฟเวอร์ไปชดเชยการขาดทุนที่เกิดจากการขายเครื่องแบบอื่น
ๆ ดังนั้นถ้าเดลล์ไม่เข้าไปในตลาดเซิร์ฟเวอร์
เดลล์จะถูกโจมตีจากคู่แข่งในตลาดเครื่องแบบตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊คได้
หลักการการบริหารของเดลล์
1. สร้างหุ้นส่วนให้แข็งแกร่ง
- ระดมพลทำงานในตำแหน่งต่าง
ๆ ด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ทำให้พนักงานรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่
พิเศษ และสำคัญมาก แล้วบริษัทจะได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาที่แท้จริงจากพวกเขา
ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการสร้าง และรักษาวัฒนธรรมของการแข่งขันไว้ให้ได้ก็คือ
การทำงานร่วมกับคนอื่นที่มีเป้าหมายและกลยุทธ์เหมือนกัน
- ลงทุนเพื่อความสำเร็จระยะยาว
ด้วยการว่าจ้างพนักงานที่พร้อมสำหรับงานในอนาคต
แล้วถ่ายทอดแนวคิดแบบนี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับรู้
- อย่าปล่อยให้การหาคนที่มีพรสวรรค์อยู่ในมือของฝ่ายทรัพยากรบุคคลเพียงลำพัง
การหาพนักงานเก่ง ๆ มาทำงานด้วยคือปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดว่าธุรกิจจะอยู่หรือไป
เพราะไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในช่วงไหนก็ตาม
การแสวงหาคนเก่งเข้ามาร่วมงานเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากมาก
- บ่มเพาะความรู้สึกของการปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอให้เกิดขึ้นกับพนักงาน
ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งตายตัว และวัฒนธรรมขององค์กรก็ไม่ควรตายตัวเช่นกัน
จะต้องให้ความสนใจกับสิ่งที่พนักงานทำได้สำเร็จ และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับพวกเขา
ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดเพื่อรักษาพนักงานที่มีพรสวรรค์เอาไว้คือ การอนุญาตให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงงานที่ทำให้เหมาะสมกับความสามารถของพวกเขา
ในบางครั้งการลดความรับผิดชอบบางอย่างลง
ก็สามารถช่วยให้พวกเขามีเวลาวิเคราะห์หาสิ่งใหม่ ๆ
และทำให้กิจการของบริษัทรุ่งเรืองขึ้นด้วย
- มีส่วนร่วมในทุกรายละเอียดของธุรกิจ
การมีส่วนร่วมทำให้เดลล์สามารถรักษาความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า
ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของเดลล์ไว้ได้
ทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็วเพราะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
2. สร้างกลยุทธ์ของบริษัทที่ทุกคนเป็นเจ้าของ
- การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ
ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย ในธุรกิจที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้
มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ผู้นำยุคนี้ต้องเป็นคนที่แสวงหาความรู้ตลอดชีวิต
- ทำเรื่องที่ไม่ชัดเจนให้ชัดเจนออกมา
ถ้าต้องการที่จะแก้ปัญหาของลูกค้า จงตรงไปถามลูกค้าว่า
เขาอยากเห็นปัญหาได้รับการแก้ไขแบบไหน
วิธีการแก้ปัญหาแบบเข้าถึงอย่างนี้จะนำไปสู่ความคิดแบบใหม่ ๆ
- ยอมรับความผิดพลาดให้ได้
ตราบใดก็ตามที่มันทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ก็ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่จะพยายามรักษาหน้าเอาไว้
- จงเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา
แม้กับเรื่องที่ดีอยู่แล้วก็ตาม
และอย่าพยายามที่จะกลบเกลื่อนข่าวร้ายหรือปฏิเสธปัญหาที่ยุ่งยาก เวลาคือทุกสิ่ง
ยิ่งจัดการกับปัญหาได้เร็วเท่าใด ปัญหาก็ถูกแก้ไขเร็วเท่านั้น
- แสดงเป้าหมายของบริษัทให้ทุกคนได้รู้
ทำองค์กรให้สอดคล้องกับลูกค้า ไม่ใช่สอดคล้องกับผังการดำเนินงาน
และสนับสนุนให้ทุกคนในบริษัททำแบบเดียวกัน
- ดูแลลูกน้องทุกคนให้เหมือนกับเจ้าของบริษัท
เมื่อใดก็ตามที่เขาเป็นเจ้าของสิ่งที่เขาทำ
พวกเขาจะเริ่มมองเป้าหมายที่ใหญ่มากขึ้น
ความรู้สึกภาคภูมิใจบวกกับความมุ่งมั่นเหมือนผู้ลงทุนเองใช้ได้ดีมากในการทำให้เกิดความรับผิดชอบ
3. เรียนรู้จากต้นตอโดยตรง
- อย่าพอใจที่จะรู้เฉพาะงานที่ทำเพียงอย่างเดียว
แต่จงเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และไม่เพียงรู้แค่บริษัทคู่แข่งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเรียนรู้บริษัทอื่น ๆ
ทั่วไปด้วย ความพึงพอใจของลูกค้านั้นไม่มีขอบเขตที่แน่นอน
และผู้นำด้านการให้บริการในอนาคตจะข้ามขอบเขตนี้ออกไปและทิ้งคนอื่น ๆ
ให้อยู่ข้างหลัง
- อย่าปล่อยให้ทรัพยากรที่มีค่า
(เช่น เวลา เงินทุน และพลังงาน) ต้องสูญเสียไปกับการคาดเดาว่าสิ่งไหนจะเหมาะสมกับลูกค้า
จงพัฒนาสิ่งที่ลูกค้าต้องการและอยากได้จริง ๆ
ซึ่งจะทำให้ลูกค้าพอใจมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ลดลงและกำไร
เป็นอย่างไรกันบาง "ความผิดพลาดก่อให้เกิดความสำเร็จ" จงเรียนเรียนรู้จากอดีตเพื่อแก้ไข้ข้อพิดพลาด แล้วเราจะประสบความสำเร็จ อย่าง ไมเคิล เดล
สำหรับบทความหน้าเราจะไปต่อกันที่ความสำเร็จของ Henry Ford : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor ที่ตัดสินใจออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16 เพื่อไปตามหาความสำเร็จ เรื่องราวของ Henry Ford จะเป็นอย่างไรนั้น บทความหน้าเราจะได้ทราบกัน
สำหรับบทความนี้ขอบคุณ
thaidellclub.com